เบอร์โทรศัพท์รถร่วม
ระเบียบ และคู่มือรถร่วมบริษัทขนส่ง จำกัด
พุทธศักราช 2547
รถร่วมบริษัทขนส่ง จำกัด
เงื่อนไขและกฏระเบียบรถร่วม
เนื่องจากรถร่วมให้บริการเดินรถภายใต้สัมปทานของ บขส. ดังนั้น จึงต้องมีข้อสัญญาที่กระทำ ขึ้นเพื่อระบุเงื่อนไขและกรอบความรับผิดชอบของผู้ให้สัญญา (บขส.) และผู้รับสัญญา (รถร่วม) ซึ่งจะเกี่ยวกับการเดินรถ การควบคุมดูแลพนักงาน ความรับผิดชอบต่อค่าใช้จ่าย และค่าปรับในกรณีที่ผู้รับสัญญาละเมิดกฎระเบียบจราจรหรือกฏระเบียบที่ บขส. กำหนดไว้ อำนาจของ บขส. ตลอดจนเงื่อนไขการต่อสัญญาเป็นต้น
การที่มีกฎระเบียบมากมายในการควบคุมการประกอบการเดินรถมีทั้งข้อดีและข้อเสีย สำหรับข้อดีที่เห็นชัดคือการเดินรถที่เป็นระเบียบมากขึ้น ส่วนข้อเสีย เช่น ขั้นตอนมากเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เกี่ยวข้องที่ไม่สุจริตทำการแสวงหา ผลประโยชน์อันมิพึงได้ การตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคทำได้ล่าช้า ราคาค่าโดยสารไม่สะท้อนต้นทุน ทำให้ผู้ประกอบการต้องแสวงหาช่องทางลดต้นทุน ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพของการให้บริการที่ต่ำลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านความปลอดภัย
บทบาทและความสัมพันธ์ของ บขส. กับรถร่วม
บขส. ได้รับเอกสิทธิ์ในสัมปทานการเดินรถหมวด 2 ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2502 โดยรัฐบาลมุ่งหวังให้ บขส. เข้ามาจัดระเบียบการเดินรถโดยสารระหว่างจังหวัด ซึ่งในขณะนั้นมีอัตราการเจริญเติบโตและผลกำไรที่สูง เป็นเหตุให้มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงและใน บางครั้งส่งผลเสียแก่ผู้ใช้บริการ
จวบจนปัจจุบัน แม้ว่า บขส. จะมีเอกสิทธิ์ในรถหมวด 2 แต่การให้บริการรถโดยสารในหมวดนี้มีส่วนแบ่งตลาดเพียง 10% ที่เหลืออีก 90% เป็นส่วนของรถร่วมเอกชน ซึ่งจ่ายค่าธรรมเนียมให้แก่ บขส. เพื่อให้ได้สิทธิ์ในการประกอบการเดินรถโดยสาร จากสัดส่วนข้างต้นนี้จะเห็นได้ว่าอุตสาหกรรมนี้มีการแปรรูปเป็นของเอกชนแล้วในทางปฏิบัติ แต่ในทางกฎหมายและระเบียบนั้น ยังถือว่า บขส. เป็นผู้รับผิดชอบในการเดินรถหมวด 2 แต่เพียงผู้เดียว ดังนั้นจึงเกิดความจำเป็นที่ บขส. จะต้องจัดการดูแลรถในสังกัด หรือ "รถร่วม" ตลอดช่วง 4 ทศวรรษที่ผ่านมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2502 บขส. ได้ดำเนินการควบคุมและดูแลจัดระเบียบการเดินรถหมวด 2 ดังตารางข้างล่างนี้
ปี พ.ศ.
|
บทบาทหลัก ของ บขส.
|
2502-2511
|
ชักจูงบริษัทเดินรถของเอกชนเข้าสู่ระบบรถร่วมเพื่อลดการแข่งขันรุนแรงระหว่างผู้ประกอบการอย่างไม่คำนึงถือความปลอดภัย |
2512-2521
|
บขส. แก้ไขปัญหารถโดยสารผิดกฎหมาย ซึ่งเพิ่มขึ้นในช่วงหลังสงครามเวียดนาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถโดยสารปรับอากาศ |
2522-2531
|
จัด ระเบียบการเดินรถทั้งของบริษัทฯ และรถร่วม โดยเน้นการให้ความเป็นธรรมและการอยู่ร่วมกันในอุตสาหกรรมนี้ และสนับสนุนให้ผู้ประกอบการรายย่อยรวมตัวกันตามความเหมาะสมของเส้นทางและ ภูมิภาคที่เดินรถอยู่ |
2532-ปัจจุบัน
|
บริหาร ระบบที่ได้สร้างไว้ โดยเป็นแบบอย่างที่ดีในด้านมาตรฐานให้บริการในเส้นทางที่รถร่วมไม่ทำเพราะ ไม่มีกำไร กำหนดอัตราค่าโดยสารให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เป็นเครื่องมือของรัฐบาลในยามจำเป็นเพื่อรักษาผลประโยชน์ของส่วนรวม และของชาติ โดยเฉพาะในด้านที่เกี่ยวกับยุทธศาสตร์และกิจการทางทหาร |
การให้สัมปทานรถร่วม
บขส. จัดตั้งขึ้นเมื่อ 13 ก.ค.2473 ดำเนินการโดยบริษัทเดินอากาศ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มการบินพาณิชย์ในไทย ได้จัดรถโดยสารวิ่งระหว่างกรุงเทพฯ-ลพบุรีและปราจีนบุรี ต่อมาได้จัดตั้งเป็นรัฐวิสาหกิจเมื่อปี 2481 ให้อยู่ในสังกัดกระทรวงคมนาคมในปี 2500 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ สั่งการให้จัดระเบียบการขนส่งรถโดยสารประจำทางโดยมอบสัมปทานเส้นทางเดินรถระหว่างกรุงเทพฯ กับจังหวัดต่าง ๆ (หมวด 2) ให้ บขส.ทั้งหมด โดยกรมการขนส่งทางบกเป็นผู้พิจารณากำหนดอายุสัมปทานซึ่งกำหนดทุก ๆ 7 ปี และกำหนดค่าโดยสาร ตารางเดินรถ จำนวน ประเภทของรถ เส้นทางสถานีและจุดจอด ส่วน บขส. มีหน้าที่จัดระเบียบเดินรถให้ความเป็นธรรมแก่เจ้าของรถร่วม เปิดโอกาสให้รถเอกชนมาร่วมวิ่งในเส้นทางตามที่กำหนด ซึ่งในบางเส้นทาง บขส. ได้ร่วมวิ่งด้วยผู้ประกอบการเอกชนต้องทำสัญญาเรียกว่า สัญญารถร่วม กับ บขส. ปัจจุบันมีรถร่วมอยู่ในความดูแลจำนวน 7 พันกว่าคัน โดยวิ่งใน 309 เส้นทางนอกจากนี้ บขส. เป็นเจ้าของสถานีขนส่ง ทั่วประเทศจำนวน 119 แห่ง สถานีเหล่านี้เป็นที่จอดรถโดยสารหลาย ๆ สายมาแวะจอดแต่ละสถานีมีห้องสุขและร้านอาหารไว้บริการ
สัญญารถร่วม บขส.จัดอยู่ในประเภท Build-Transfer-Operate เอกชนเป็นผู้จัดหารถมาวิ่งเอง แต่ต้องโอนรถให้เป็นกรรมสิทธิ์ของ บขส.ก่อน จึงจะสามารถดำเนินงานได้เจ้าของรถต้องพ่นสีตัวถัง ตราบริษัทขนส่ง หมายเลขประจำรถ ชื่อเส้นทาง ติดตั้งเก้าอี้นั่งผู้โดยสารตามที่ บขส.กำหนดให้เรียบร้อยก่อน โดยเจ้าของรถเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายเองแล้วจึงส่งมอบรถให้ บขส.
เอกชนต้องจัดหาและจ้างพนักงานประจำรถ จัดหาช่างประจำเพื่อซ่อมรถที่โอนให้อยู่ในสภาพใช้การได้ดีอยู่เสมอ ชำระค่าธรรมเนียม ค่าภาษี หรือค่าปรับต่าง ๆ และยินยอมให้ บขส.นำรถที่โอนไปประกันภัยชนิดบุคคลที่ 3 นอกจากนี้เอกชนต้องวางเงินค้ำประกัน สัญญาจำนวนหนึ่งขึ้นอยู่กับประเภทของรถและวางหลักทรัพย์ค้ำประกันความเสียหายไม่ต่ำกว่า 1 แสนบาท ต่อรถ 1 คัน
รถที่นำมาวิ่งต้องมีสภาพมั่นคงแข็งแรงมีอุปกรณ์และส่วนควบคุมถูกต้องตามกำหนดในกฎกระทรวง ผ่านการตรวจสภาพมีใบอนุญาตให้ใช้รถยนต์ของกรมการขนส่งทางบกและใบอนุญาตประกอบการขนส่งประจำทางระหว่างจังหวัด ส่วนมาตรฐานของรถต้องเป็นไปตามที่กรมการขนส่งทางบกกำหนด เช่น ถ้าเป็นรถปรับอากาศชั้น 1 ต้องมีห้องสุขา บริการอาหารเครื่องดื่ม และพนักงานต้อนรับประจำรถ มีอุปกรณ์ให้เสียงประชาสัมพันธ์และที่เก็บสัมภาระ ถ้าเป็นรถปรับอากาศชั้น 2 จะไม่มีบริการห้องสุขา อาหารและเครื่องดื่ม
สำหรับการแบ่งรายได้ให้ บขส. ใช้เกณฑ์ดังนี้คือ ผู้ประกอบการต้องส่งรายได้เป็นจำนวนเงินเท่ากับอัตราค่าโดยสาร 1 คนต่อ 1 เที่ยวที่กำหนดในเส้นทางนั้น ๆ โดยจ่ายให้ บขส. เป็นรายวัน ส่วนการเดินรถนั้น บขส.เป็นผู้รับผิดชอบควบคุมการเดินรถโดยมีข้อปฏิบัติดังนี้
- เอกชนต้องไม่นำรถผู้อื่นมาร่วมวิ่งบนเส้นทาง
- ถ้าไม่นำรถมารับผู้โดยสาร โดยไม่ได้แจ้ง บขส. ล่วงหน้าก่อนกำหนดเวลาออกรถ 6 ชั่วโมง ต้องเสียค่าปรับวันละ 100 บาทต่อคัน ถ้าไม่นำรถมาวิ่งในเส้น ทางติดต่อกันเกิน 7 วัน บขส.ปรับวันละ 200 บาท จนกว่าจะนำรถมาวิ่งหรืออาจให้พักรถหรือเลิกสัญญา
- กรณีเอกชนนำรถไปใช้ในกิจการอื่นต้องแจ้งล่วงหน้า 3 วัน ถ้าไม่แจ้งต้องจ่ายค่าเสียหายให้ บขส. เป็นเงิน 500 บาทต่อวัน แต่รถที่ได้แจ้งและ บขส.อนุญาตก็ต้องเสียค่าชดเชยแก่ บขส.ด้วย ในอัตราที่กำหนดตามประเภทของรถ เช่น รถปรับอากาศต้องจ่ายวันละ 200 บาท เป็นต้น
- กรณีมีความเสียหายเกิดขึ้นในเส้นทางและผู้เสียหายได้ฟ้องร้อง บขส.เอกชนต้องเป็นผู้รับผิดชอบความเสียหายนั้น โดย บขส.มีอำนาจยึดรถไว้จนกว่าเอกชนจะชดเชยความเสียหายแก่บุคคลอื่นเสียก่อนหรืออาจขายรถเพื่อนำเงินไปชดใช้ค่า เสียหายได้ถ้ามีเงินเหลือหลังจากการชดใช้แล้ว บขส.จะคืนให้ผู้ประกอบการ
- ผู้ประกอบการต้องควบคุมพนักงานประจำรถให้ปฏิบัติตามระเบียบ หากพนักงานมีความประพฤติไม่เหมาะสม และได้แจ้งให้ผู้ประกอบการทราบแล้ว ต้องเปลี่ยนตัวพนักงานทันที ไม่เช่นนั้น บขส. อาจจัดพนักงานของ บขส. มาทำหน้าที่แทนโดยผู้ประกอบการเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายสำหรับพนักงานที่ บขส. จัดหามา
เมื่อใกล้วันครบสัญญา ถ้าจะต่อสัญญาอีกต้องแจ้ง บขส. ก่อนครบสัญญา 60 วัน ถ้าไม่แจ้งถือว่าไม่ต้องการต่อสัญญา เมื่อสัญญาสิ้นสุดผู้ประกอบการต้องลบตราบริษัทขนส่ง หมายเลขสาย และหมายเลขข้างรถ โดยผู้ประกอบการออกค่าใช้จ่ายเองให้เรียบร้อยก่อน บขส. จึงจะโอนรถคืนให้ผู้ประกอบการพร้อมทั้งการพิจารณาในเรื่องหลักประกันสัญญาและหลักทรัพย์ค้ำประกันความเสียหาย
รถโดยสารประจำทางระหว่างจังหวัดแบ่งออกเป็น 3 หมวด คือ หมวด 2 จะวิ่งบริการระหว่าง กรุงเทพฯ-ต่างจังหวัด โดยรถ บขส.และรถร่วมเอกชน ส่วนหมวด 3 และ 4 เป็นรถโดยสารระหว่างจังหวัด (ไม่ผ่านกรุงเทพฯ) และอำเภอ ซึ่งบริการโดยรถร่วมเอกชน